Friday, December 16, 2005

สวัสดี ณ วันที่ความสัมพันธ์อยู่กับที่ แต่ชีวิตนายต้องเดินทาง

ไอ้วาว... เพื่อนร่วมทางจัญไรหฤหรรษ์
กูไม่รู้จริงๆซิหน่า ว่าเส้นทางชีวิตหฤโหดความสุขของผองเรามาตัดกันในยุคสมัยวุ่นวายสับสนแสนสั้นได้อย่างไร หรือเพราะอะไร
โชคชะตา? พรหมลิขิต? หน้าที่? อหังการตน? สัญญา? หรือตะบักตะบวยอะไรก็ตาม
กูไม่รู้... มันเริ่มต้นได้อย่างไร แต่มันก็เริ่มต้น-นี่แหล่ะชีวิตคาดเดาอะไรกับมันไม่เคยได้ หน้าที่ของเราคือ รอ และรับมือกับมันดั่ง gladiator ที่รออยู่ท่ามกลางการต่อสู้แต่ไม่เคยรู้หรอกว่า ผีห่าซาตานจัญไรที่ไหนจะโผล่ออกมาจากอุโมงค์สีมืด แต่เราไม่เคยสนใจ ไม่ซิ, เราไม่สามารถทำอะไรได้ เพียงแต่ลุยไปกับมัน แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ช่างแม่ง-let it be, Lennon said.
“คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้หรือ”
“คนเราสามารถทำอะไรก็ได้ อยากเปลี่ยนสิ่งได้ย่อมได้ แล้วเฝ้ารอให้โชคชะตาเปิดเผยตัวมันเอง”
อัลเกรนสนทนากับโคชิโมโตะ
The last samurai
แต่มีสิ่งหนึ่งที่กูรู้ แน่แท้คมกริบยิ่งกว่าเหลี่ยมนายกจอมโวข่มคือ... กูไม่อยากให้มันจบลง
เมื่อมึงจะเดินทางไกล(ตามหน้าที่และระยะทางที่พาไป)และมึงกำลังจะได้เดินทางใกล้ลงลึก(โดยอัตโนมัติของผู้ต้องเผชิญและต้องรอด) อย่างแรกที่กูผองเพื่อน(มึง)-กลุ่มคนผู้ร่วมยุคสมัยที่ประจำการอยู่ในทัพหน้าของสงครามชีวิต ณ สมรภูมิประเทศไทย เมื่อหนึ่งใน band of brothersจากไป แน่แท้ยิงกว่าอาทิตย์ขึ้นตะวันออกนั่นคือ... ย่อมคิดถึงมึงแน่นอน มึง-ปลาทองมนุษย์ผู้มีตาเป็นเลนส์nikon มีนิ้วไว้กดขี่ชัตเตอร์ แหวกว่ายในทะเลชีวิตนิ่ง (photo)
สู้เว้ย!สู้เว้ย! – คมคำหญิงผู้แบกเหล็กคว้าโลก ยังเป็นคำสั้นแต่มีพลังเหลือร้าย ที่กูอยากจะให้มึงเป็น codeแห่งชีวิต
กูอยากให้มึงสร้างความน่าจะเป็นแห่งความสุขแขนงของมึงให้เต็มที่(ไม่มีใครช่วยมึงได้ นอกจากมึง เพียงมึง และ เพื่อมึง) แหกตาเปิดกะโหลกในรูปแบบ โน เปย์ โน ชาร์จ รับประสบการณ์-รับให้มากเชิงปริมาณแต่สร้างตาข่ายแห่งจิตใจกรองให้ละเอียดที่สุด บุกตะลุยละมุนมันในท่วงทำนอง Jack Johnson-บุรุษผู้เค้นความหนักแน่นท่ามกลางความนุ่มนวลเนิบนาบ จากการเดินทางครั้งนี้
เกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว (แน่นอน, เจ็บปวดหลายครั้ง)
“What the fuck are you waiting for?!”
See Ya!
In the Fucking name of da life
กูแทน
แด่เพื่อน ผม ไอ้วาว และ แด่ผู้หลงใหลในการเดินทาง

ห่วงหา โหยหา วาดหวัง
ธรรมศาสตร์นั้นหรือสอนให้รัก
เน้นตระหนักค่าคณาประชาชน
ณ ยามนี้ได้สดับกลับสับสน
แลดั่งเช่นคำคมที่สวยงาม
สิ้นแล้วหรือแสงประทีปที่ส่องแจ้ง
สิ้นแล้วหรือวายุแรงที่เกรงขาม
สิ้นแล้วหรือจิตวิญญาณที่ลือนาม
สิ้นแล้วหรือตำนานแห่งผองไท
รุ่นพ่อแม่ของเรานั้นท่านยืนหยัด
เจิดจรัสธงหนุ่มสาวโบกไสว
น้ำตาหลั่งเลือดชโลมผิ่นแดนไทย
เพื่อเสรีผลิดอกใหญ่ในสังคม
ถึงคราแล้วเพื่อนผองพี่น้องเอ๋ย
มิใช่เอ่ยเพียงวจีให้สุขสม
อย่ามัวลุ่มอย่ามัวหลงอย่ามัวจม
เพียงแต่เด็ดดอมดมดอกไม้บาน
ร่วมกันปลูกต้นกล้าประชาธิปไตย
หยั่งรากไกลผังลึกถึงลูกหลาน
ลุกขึ้นสู่เรื่องอธรรมอันธพาล
ร่วมสืบสานป่าใหญ่เสรีชน
coolwind

Nov.3, 2005 ในวันฟ้ามืดและความอบอุ่นแผ่ยะเยือก

ผมเดินทางมาถึงจังหวัดลำปางเรียบร้อยแล้ว รูปแบบแคลสสิคแห่งจริตคนเมือง “ถึงเรียบร้อยแล้ว” ยังเป็นการตอกย้ำคำของ มิลาน คุนเดอรา มนุษย์เมือง-มนุษย์ผู้เห็นการเดินทางมีขึ้นเพื่อไปถึงเป้าหมาย คราวนี้เราเดินทางมามิใช่เพื่อเป้าหมายใด เราเดินทางมาเพียงเพื่อต้องการเดินทาง
อารมณ์-บ่อพลังงานอันคุกรุ่นของจิตใจ ขณะนี้กำลังนอนอ้อยอิ่งรับภาพในเส้นทางที่พาดผ่านการเดินทาง
ความจริงธรรมชาติยืนอยู่กับที่ มีแต่เพียงและร่างกายเราเท่านั้นที่เคลื่อนไหว
เราอาศัยการเดินทางเพื่อเปิดตาแหกกะโหลก ให้รับรู้สิ่งวิจิตรในรูปแบบ no pay no chargeได้ชัดเจน มีนัยประหวัดที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึง นั่นคือสำหรับตัวผม ทำไมการเดินทางถึงสร้างความสุขให้กับตัวเราได้มากมายขนาดนี้ เพราะมันสวยหรือ? เพราะมันมีสิ่งใหม่เข้ามาหรือ?
ทำไมซึนามิความสงบถึงโหมใส่อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะมันสวยหรือ? เพราะมีประสบการณ์ใหม่เข้ามาหรือ?
บางทีอาจมิใช่สิ่งที่ต้องการหาเหตุผลอย่างที่ได้กล่าวมา เพราะมันเป็นการใช้วิถีทางหาคำตอบที่ไม่ถูกต้องนัก
เพราะอะไร...
เพราะมันเป็นการตั้งคำถามด้วยการมองจากตัวเราเอง(ขบวนพาเหรดความเชื่อค่านิยมจะมาร่วมเดินกันอย่างรื่นเริงเมามันยิ่งกว่า คาร์นิวัลในบราซิลเสียอีก) อาจทำให้สิ่งที่เราค้นหาเบี่ยงเบนได้
แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไรมากมาย
ผมแค่ได้แปลงกายเป็นสายลมเย็น ผมได้กลายร่างเป็นแม่น้ำใส ผมได้วิวัฒน์เป็นต้นไม้เขียว
ไม่รู้ว่าอนาคตที่เปลี่ยนแปลงในเวลาข้างหน้า ผมอาจจะกลับมาเป็นสปีซี่ย์ฆาตกรอีกเมื่อไหร่
แต่ตอนนี้ขอแปลงกาย... สักหนึ่งนาทีก็มีค่าพอ
เราอยู่ที่ขนส่งเมืองลำปาง ตอนนี้เวลาประมาณตีห้าของวันใหม่ พระอาทิตย์ขี้เซากำลังงัวเงีย เหมือนเพิ่งไปปาร์ตี้อย่างหนักเมื่อวาน-คงจะยังแฮงค์อยู่นิดหน่อย จากคำอ้างอิงของรุ่นน้องผู้เป็นบุคลากรเมืองนี้โดยใบทะเบียนบ้าน ช่วงเวลานี้ในความหมายของฤดู กำลังจะเข้าสู่ฤดูไม่ใส่ใจพระอาทิตย์ เพราะเจ้าดวงกลมสว่างมันมาทำงานสายและกลับบ้านเร็วกว่าชาวบ้านเขา แต่เอาหน่ายกโทษเพราะนายไม่เคยลาหยุดมากี่แสนล้านปี ขี้เกียจหน่อยก็ได้ ไม่ว่ากัน นายกยังพักโกงบินไปเที่ยวอังกฤษได้เลย
บรรยากาศแรกที่ได้สัมผัส(First atmospheric orgasm) ที่ได้ย่ำเท้ามาสู่เมืองใหญ่ทางเหนือ ความรู้สึกที่มีราวกับว่า มัคคุเทศก์ธรรมชาติมารออยู่ที่หน้าประตูรถบัสคันใหญ่ เมื่อเรามาสัมผัสผืนดิน มวลอากาศมวลใหญ่ที่น่ารัก มาโอบทาและฉาบรัดเราด้วยความเย็นขนาดมหึมา เป็นการต้อนรับที่น่ายิ้มแย้มสำหรับผู้มาเยือนเสียจริง
รุ่นน้องผู้น่ารักของเรา-เจ้าเฮง ภูเขาไฟหนุ่มเสียงสวยผู้ถือช่อไมตรีจิตรมาให้เราเสมอ มารออยู่ที่ท่ารถ เมื่อเจอภาพมิตรภาพที่ประสานงากับบรรยากาศที่สวยงามเช่นนี้ จึงกลายเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงของความเรียบง่ายและความสุข ของธุลีดินแห่งธรรมชาติที่บังเอิญเส้นทางชีวิตอันสับสนแสนสั้นมาตัดกันได้เหลี่ยมมุมพอดี ในช่วงเวลาของยุคสมัยที่เป็นabstractของจิตวิญญาณ-ความจริงมีอยู่แต่ตีความกันวายป่วง
ยังง่าย... ท่ามกลางความยาก ยังงาม... ท่ามกลางความอัปลักษณ์............ เสมอ
การเดินทางไปยังที่พักนั้น เมื่อเราได้สอบถามตามประสาของผู้ใหม่ จึงทราบว่าไม่ได้อยู่ไกลกันนักกับตำแหน่งที่เรายืนละเลียดบรรยากาศอยู่ จึงขอทำหน้าที่สุภาพบุรุษ(ผู้ซึ่งเปิดโอกาสให้ตัวเองหยาบคายอยู่เสมอ) โดยให้น้องสาวผู้ร่วมทางกับเรา-น้องเอ๋ หญิงสาวผู้ได้รับความน่ารักและสัปดนมาถือไว้เมื่อเดินทางมายังโลก ได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน เนื่องจากพาหนะของเรามีเพียงรถเครื่อง (มอเตอร์ไซค์ที่เปลี่ยนชื่อโดยภูมิภาษา) เจ้าเฮงจึงแปลงกายเป็นสารถีควบหญิงสาวไปพักผ่อนหลังจากการเดินทางที่น่าจะขโมยเวลาบนโลกและขู่กรรโชกเรียวแรงเธอไปโขที่เดียว แล้วอีกครู่หนึ่งมันคงมารับเรา ขอบคุณที่ปล่อยให้เรานั่งจิบภาพและเสียงของความสงบ ขอรอไปสักพักเพื่อสัมผัสกับผู้ต้อนรับที่เย็นชื่นใจอีกครั้ง
ระหว่างที่รอผมมาหยุดนั่งอยู่หน้าร้านขายของชำระดับconvenient storeนั่งอยู่ตรงม้าหินอ่อนตัวเขื่องที่อยู่ริมถนนหันเข้าหาสถานีขนส่ง มีกาแฟระดับอร่อยทั่วไปหนึ่งแก้ว-ไม่น่าซื้อกาแฟเย็นเลยแค่อากาศก็เย็นพอที่จะทำให้ความร้อนใจเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ไม่มีวันเป็นจริง คงเป็นความเคยชินของเด็กตึกผู้ร้อนใจ จึงอาศัยน้ำแข็งทุเลาจนเป็นนิสัย คลุกเคล้าไปกับโอสถมวนอเมริกัน (cancer’s roll of freaking paranoid nation) เป็นอุปกรณ์บรรเลงท่อนอินโทรของบทนิราศส่วนตัวขนานpop jazzที่ลำปาง-ดนตรีjazz ดนตรีที่แฝงความสนุกสนานและความเหงาอย่างกลมกล่อมจนกลายเป็นเมนูความสุขจานใหญ่ที่พร้อมให้ผู้ฟังรับประทานอยู่เสมอ ความสุขในแขนงที่ผมหลงใหลหรืออาจเป็นความสุขเพียงชนิดเดียวที่ผมมีโอกาสพบเจออยู่เสมอในช่วงจังหวะชีวิตขณะนี้ความสุขแขนง bitter sweet symphony (salute to the verve!, to all jazz musician!) ความเจ็บปวดอันแสนหอมหวาน ให้หมาป่าตาบอดผู้ไล่ล่าหาความสุขได้มาสวาปามอย่างเอร็ดอร่อยแม้ปริมาณของมันจะเป็นได้แค่การประทังชีวิตที่โรยแรงก็ไม่เป็นไร ดีกว่าหิวตาย
เมื่อแหงนหงายไปมองท้องฟ้าด้วยท่วงท่าและอากัปที่คุ้นเคย พลันนึกถึงคำพูดของพี่โต-อาจารย์ซามูไรโชกเลือดผู้มาก่อน ที่ว่าให้เราย้ำเตือนสติอยู่เสมอว่าการมองท้องฟ้านั้น คือการค้อมหัวให้ธรรมชาติและสัมผัสความยิ่งใหญ่ของโลกได้โดยตรง เคยมีกลอนเปล่าที่เราเคยเอ่ยพาดพิงจาบจ้วงธรรมชาติไว้ว่า
ผืนผ้าสีน้ำเงินเบื้องบน
อินทรีย์สยายปีกกล้า
นัยน์ตาแกร่งเขม็งจ้อง
มุ่งตรงมายังนัยน์ตาข้า
ข้าสั่นเทิ้มอ่อนไหว
ข้าเป็นเพียงธุลี
ข้าเป็นเพียงอณู
ข้าเป็นเพียงความว่างเปล่า
ว่างเปล่า...
ท้องฟ้าที่นี่ไม่ทำให้ผมผิดหวัง เพราะหมู่ดาวกำลังลอยเกลื่อนกลืนกับความกว้างใหญ่ของจักรวาล ราวกับท่อนsoloของsaxophoneในบทเพลงบอสซ่าที่ชุ่มช่ำ ฉุกใจคิดว่า ท้องฟ้าที่นี่กำลังยิ้ม ยิ้มเหมือนกับวงskaberry ที่ได้เห็นผู้คนเต้นรำไปกับมนต์รักเพลงสกาที่พวกเขากำลังเล่นที่ brickbar และคุณท้องฟ้าพูดกับผมว่า “คุณคือผม ผมคือคุณ จงดื่มด่ำไปกับเวลาที่เดินช้านะพรรคพวก”
ท้องฟ้าลำปางสัมผัสได้ง่ายกว่าการแวะเข้าซื้อบุหรี่ที่7-11 เพราะลักษณะของเมืองยังให้ความเคารพพี่ใหญ่ที่อยู่เบื้องบน อาคารยังมีลักษณะรังมนุษย์เมืองต่างจังหวัด (blended-in-with-nature townhouse) ที่ยังไม่ต้องการจะเปิดศึกเอาชนะคะคานกับท่านเมฆา ต่างกับเมืองใหญ่ที่เป็นเหมือนหลุมดำของกิเลสดูดมนุษย์ผู้โง่เขลาไปอยู่ในภาวะต้องบูชายัญทุกสิ่งให้กับความอยากของตัวเอง ความสูงของตึกจะอยู่ในระยะตั้งสองถึงสามชั้น จึงเปิดโอกาสให้สายตาที่คับแคบของเราได้เปิดกว้าง
เหม่อมองปลดปล่อยอารมณ์ให้เต้นรำเคล้ากับม่านควันพลิ้วโค้งระเหยหายไปกับอากาศมวลใหญ่ เมื่อหลับตาเรื่องราวต่างๆวิ่งเข้ามามากมาย ชีวิตคนเรามีเรื่องราวมากมายเหลือเกินที่เราต้องแบกเอาไว้ ความฝันที่ต้องตามล่า หน้าที่การงานที่ต้องทำให้สำเร็จ มองไปที่กลุ่มพี่ๆมอเตอร์ไซค์รับจ้างชีวิตของเขาวันนี้ก็คงมีเรื่องราวให้คิดอีกมากมาย อาจกำลังคิดว่าจะเริ่มต้นวันให้เร็วกว่าเดิมเพื่อให้มีเงินเพียงพอจะส่งค่าเทอมลูก พี่ๆคนกวาดขยะอาจกำลังบ่นพร่ำถึงความมักง่ายของชาวเมือง ผู้คนที่นั่งรอรถอยู่อาจกำลังแบกความฝันที่จะไปหาช่องทางทำมาหากินที่กรุงเทพ นักการเมืองท้องถิ่นในชุดผ้าไหมอาจกำลังคิดถึงวิธีทุบถนนใหม่เพื่องาบงบประมาณของประชาชน
ต่างคน ต่างเส้นทาง แต่ในการเดินทางที่เราเลือกไปนั้นก็เพื่อความสุขเป็นเป้าหมาย เราจึงทั้งจ้ำทั้งควบชีวิตไปอย่างกระหายหื่น เพื่อไปให้ถึง
มนุษย์เมือง-มนุษย์ผู้เห็นการเดินทางมีขึ้นเพื่อไปถึงเป้าหมาย คราวนี้ผมเดินทางมามิใช่เพื่อเป้าหมายใด ผมเดินทางมาเพียงเพื่อต้องการเดินทาง
เป้าหมายของผมอยู่ในทุกที่ที่เท้าสัมผัส อยู่ในทุกวัตถุที่สายตามอง อยู่ในทุกเสียงที่หูได้ยิน อยู่ในทุกจังหวะเต้นของหัวใจ อยู่ในทุกเวลานาที อยู่ในทุกความคิด

“เมื่อยินเมื่อยลเมื่อสัมผัส
จึงกระหวัดจึงตระหนักจึงได้เห็น
ฟ้ากว้างดาวพรายสายลมเย็น
ณ อรุณแรกเต้นเมืองลำปาง
ฉันยินเสียงทำนองของท้องฟ้า
ฉันแลเห็นเนื้อหาของรุ่งสาง
ฉันสดับบทเพลงอนงค์นาง
พระแม่ธรรมชาติสร้างอันรื่นรมย์”

ขอบคุณธรรมชาติผู้ปัดกวาดบทเพลงอันอื้ออึงแห่งจิตวิญญาณ
แปลกใจจัง
ผมหยุดอยู่กับที่อีกแล้ว