Wednesday, February 10, 2010

A Washington Post Competition's Romantic Rhyme

A Washington Post Competition asked for a rhyme with the most romantic first line, but the least romantic last line. This is the winning entry:

My Darling, my lover, my beautiful wife,

marrying you screwed up my life.

I see your face when I am dreaming.

That's why I always wake up screaming.

Kind, intelligent, loving and hot:

This describes everything you are not.

I thought that I could love no other:

This is until I me your sister.

Roses are red, violets are blue,

sugar is red, and so are you.

But the roses are wilting, the violets are dead,

the sugar bowl's empty and so is your head.

I want to feel your sweet embrace

but din;t take that paper bag off your face.

I love your smile, your face, and your eyes,

damn, I'm good at telling lies!

My love, you take my breath away

What have you steeped in to smell this way?

My eelings for you no words can tell,

except for maybe 'go to hell!.'

What inspired this amorous rhyme?

Two parts tequila, one part lime....

Sunday, April 12, 2009

Poisonous Food

12 เมษา (สงกรานต์อีฟ)

ในความริยำของไฟคลั่งข้อมูลฝ่ายเดียวของสยามประเทศ ในคราบไคลของอัตตาที่เรียกว่าประชาธิปไตยตน
ในไฟสงครามของมหาประชาชนเง่า-ความเง่าไม่เคยเลือกสี ความงามก็ไม่เคยเลือกสี และ แน่นอน ความสว่างไม่มีสี
ผม ชนชั้นกลางสัมบูรณ์ ในเมืองฟ้าอมร เอามือตนวางสากลงข้างตัว และประณตมือประนมภาวนา

……..

ปราชญ์สยาม (ไร้สี) ท่านหนึ่งเคยราดความเย็นให้สังคมไทย โดยกล่าวไว้ว่า

“ถ้าหากว่า เผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทย ที่เราสร้างเสริมขึ้นมา อย่างดี เป็นเวลานานจะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่ม ปรากฏ ผลแล้ว ฉะนั้นจะต้องแก้ไข ฉะนั้น ก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่านคือ พล.อ.สุจินดา และพล.ต.จำลองช่วยกันคิด คือ หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่ เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากัน ไม่ เผชิญหน้ากัน แก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติ รุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใคร จะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือ ประเทศชาติ ประชาชน จะเป็น ประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะใน กรุงเทพ มหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์ อะไรที่จะทะนง ตัวว่าชนะ เวลาอยู่บน กอง ซากปรักหักพัง ฉะนั้น จึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน...Ž”

หากอ่านโดยไร้สี หากพิจารณาโดยไร้อัตตา หากมองอย่างเป็นธรรม เป็นกลาง โดยมิต้องคำนึงว่าผู้ที่กล่าวข้อความเป็นใคร อยู่ในตำแหน่งใดบนสากลโลก จะเห็นยิ่งว่าเป็น ข้อความที่คัดค้านได้ยากยิ่ง

เสรีภาพแห่งการแสดงออกเมื่อมาถูกปรุงแต่งด้วยอัตตาของปัจเจกบุคคล เหยาะด้วยการปลุกปั่นเกลียดชังของน้ำปลาตรา demagogue เป็นส่วนผสมชั้นดีของความหายนะจานใหญ่ที่ประเทศชาติต้องถูกบังคับให้กลืนกินลงไป

อย่าลืมว่าอาหารเป็นพิษทำให้คนตายได้

มิพักต้องถามว่าอาการประชาธิปไตยเป็นพิษจะพาเราสู่ที่ใด

Monday, October 29, 2007

Silence swirls as heart mourns

Silence swirls as heart mourns

I’ve been blessed for having you here in my life;

To love, for me is to be hurt,

To care, for me, is to tear apart into pieces,

To miss, for me, is to be drawn to the purgatory of a solitude soul,

To adore, for me, is to cry a river with bittersweet happiness.

Eventually, I know I’ll continue to do all that because this is somewhat the sole task of the sun.

The sun...

The sun...

The sun...

Musashi once said, to overcome self is to be determinant without a blink of weakness and be ready to face loneliness elegantly even our heart shall gradually erode...

At the end of the day, the sun knows his task. He need at all cause to shine again and again.

Please mother nature, let the this little twinkling star rises up and shines bright for whom he loves, cares and adores.

With painfully contentment,

Kraisorn Rueangkul

October 29, 2007

Dusit Thani Building

Friday, November 24, 2006

Candy:ลูกอมแสนหวานในยา(ผง)ขม

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ชีวิตใสกลวงเปิดโอกาสให้มีช่วงเวลาสงบ เลยบริโภควัฒนธรรมฝรั่งแขนงภาพลวงตาในความมืด (สำนวนผู้แปลฟลิคเกอร์) ที่ลิโด สยาม-การดูหนังคนเดียวเป็นการเปิดโอกาสให้เราเสพย์สารจากศิลปะได้ดีเยี่ยมจริงๆ ไม่ว่าเราจะเข้าใจอะไรมากหน่อยแค่ไหน แต่เราก็เรียนรู้จากมันได้ดีเหลือเกิน

แคนดี้ นำแสดงโดย ฮีธ เลดเจอร์ ออสเตรเลี่ยนดันดี กะเด (g’day) ที่ในช่วงหลังเริ่มจำแลงไปสู่บุคลิกอื่นได้ไหลลื่นน่าสนใจ ส่วนตำแน่งอื่นในหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยรู้จักเพราะเป็นหนังออสเตรเลียไม่ค่อยคุ้น คุ้นอย่างเดียว บริษัท fortissimo films ที่ชอบเอาหนังดีๆจากต่างประเทศ(ที่ไม่ใช่ฮอลลี่หรือบอลลี่วูด) จัดมาให้พลเมืองชั้นกลางของประเทศอ่อนการเมืองอย่างเราๆชม โดยไม่กลัว คณะปฏิบัติการยามค่ำคืน (aka ”คปค.”) หรือ คณะเหม่อมองชีวาส (คมช.)อย่างเราและผองเพื่อนจอมเลื่อนเปื้อน

หนังเล่าเรื่องราวของชีวิต junkies ในออสเตรเลีย แคนดี้คุณหนูสาวครอบครัวแสนอบอุ่น ดื่มดำศิลปะ กับกวีหนุ่มนักเสพสวรรค์เคมีที่โดนทางบ้านตัดญาติขาดมิตร ผ่านการเติบโตของความสัมพันธ์ความรักที่มีเนื้อหาที่คู่รักทุกคนอยากมี ผ่านเรื่องราวเป็นสามภาคเนื้อหาใหญ่ๆ heaven earth และ hell

อีกครั้งและอีกครั้ง บริบทซับซ้อนของสังคมมนุษย์มาเคาะประตูความคิดของผมอีกแล้ว

หากคุณมีความรัก พอหรือไม่กับบริบทสังคมที่มีอยู่? หากคุณมีความรัก สิ่งที่แท้ที่สุดคืออะไร มันคือความรักที่คุณมีให้ หรือว่า มันคือบุคคลที่คุณต้องการมอบความรัก? โลกปัจจุบันมิได้อยู่ที่ตัวความรักอย่างเดียว เพราะมีปัจจัยซับซ้อนหลายอย่างซ้อนทับกันอย่างดุเดือด

อืม.... เลยยังไม่มี ”คนรัก” สักที แฮ่ะๆ
…………………………………………….
หนังมีฉากที่ให้ความหมายสำหรับผมคือ ”สภาวะไร้แรงโน้มถ่วง” หลายครั้งเหลือเกิน บ่งบอกกับผมว่า”โลกมีแรงโน้มถ่วง” และมีคนบนโลกบ้างจำพวก อย่างกวีหนุ่ม อย่างผม หรือใครอีกหลายคน ที่พยายามฝืน”แรงโน้มถ่วงนั้น” ในขบวนการเสรีชนคนเกลียดแรงโน้มถ่วงอย่างผมเลยชอบครึ่งไม่ชอบครึ่ง เพราะหากเรารู้สึกว่าสิ่งที่ถ่วงเราไม่ชอบ มันก็ต้องแปรสู้ขั้นตอนวิธีการ กำจัด ปัดเป่า สิ่งเหล่านั้นออกไป แต่วิธีการนายคนนี้ไม่ค่อยจะมีโภคผลเท่าไหร่

แต่นั่นแหล่ะ ชีวิตมนุษย์มันก็อย่างงี้แหล่ะ พลาดพลั้งเผลอ สามัญมาก แต่คุณจะรับมือกับเหตุปัจจัย และผลแห่งมันอย่างไรมากกว่า
ขอคารวะคุณซักจอกแด่ความรักที่คุณมี และผมคิดว่าคุณมีมัน เพราะความรักนั้นคุณให้เธอโดยมิหวังจะครอบครอง และขอสาปแช่งยา(ผง)ขมนรกอวตาร-ดื่มกลืนเข้าไป เสพสุขเสมือน รับรู้ความฝาดชีวิตชีวิตจากผลแห่งมัน ที่มีเกลื่อน มิเพียงบรรจุอยู่ในรูปเม็ดเท่านั้น

แด่ กวีหนุ่มผู้ซ่านสดับกับยา(ผง)ขม ยานรกอวตาร แต่ยังไม่ขาดศักยภาพแห่งรัก

เขียนถึงคนบนฟ้า

เขียนถึงคนบนฟ้า
Artist : พิง ลำพระเพลิง

C G Am Em/F Em/Am Dm G
เพิ่งรู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน ที่ต้องใช้ชีวิตลำพัง ฟ้าทุกเช้ามันอ้างว้าง ตั้งแต่เธอจากไป

C G Am Em/F Em/Am Dm G C
ชีวิตต้องเดินก็รู้ แต่ไม่รู้จะเดินเพื่อใคร ดาวบนฟ้าคว้ามาได้ ใครจะร่วมชื่นชม

Dm Em F G
ยามค่ำคืนยังยืนมองขอบฟ้า เธอสบตากับฉันบ้างหรือเปล่า

F G/Em Am
คิดถึงเธอ คนที่ดีที่สุด

Dm G C F G / Em Am Dm G C
ถึงแม้ได้พูดในวันที่มันสาย ยังคงรักเธอ เธอได้ยินฉันไหม อยู่แห่งไหน หัวใจมีแต่เธอ

C G Am Em/F Em/Am Dm G
เพิ่งรู้ว่ากอดมันหวาน เมื่อเธอนั้นไปไกลลับตา ใช้ทั้งสองมือไขว่คว้า คงไม่มีค่าใด

C G Am Em/F Em/Am Dm G C
ห้องน้อยของเธอกับฉัน ที่วันนั้นมันดูแคบไป เพิ่งจะรู้มันกว้างใหญ่ เกินจะนอนคนเดียว

Dm Em F G
ยามค่ำคืนยังยืนมองขอบฟ้า เธอสบตากับฉันบ้างหรือเปล่า

F G/Em Am
คิดถึงเธอ คนที่ดีที่สุด

Dm G C F G / Em Am Dm G C
ถึงแม้ได้พูดในวันที่มันสาย ยังคงรักเธอ เธอได้ยินฉันไหม อยู่แห่งไหน หัวใจมีแต่เธอ

F G/Em Am
คิดถึงเธอ คนที่ดีที่สุด

Dm G C F G / Em Am Dm G C
ถึงแม้ได้พูดในวันที่มันสาย ยังคงรักเธอ เธอได้ยินฉันไหม อยู่แห่งไหน หัวใจมีแต่เธอ

Dm/G C
...ได้ยินไหม...คิดถึงเธอ.......
ความรักยังเป็นเรื่องหอมหวลเสมอ แม้ความรักจะไม่ได้อยู่ ณ ปัจจุบันเป็นรูปเป็นร่าง ให้ผมเห็น
แต่มันอยู่ในความทรงจำ แต่มันอยู่ในความคำนึงของผม
ทำให้ผมทราบว่า...
ผมในฐานะมนุษย์ง่าวคนหนึ่งยังมีศํกยภาพที่จะรัก
"โดยไม่อยากครอบครอง"
นี่อาจเป็นความหมายของรักที่แท้ ที่ผมคงมีไปอีกนาน...
แด่เธอ

Saturday, October 07, 2006

ประนมประนามหยามหยันถึงความฝันความสุข

เส็งเคร็งมนุษย์อาจมสังวาส

ขลาดเขลาชืงเปรตพึงเพียงอำนาจ

กระจอกงอกง่อยอ้างตนดีถม

แต่ควา่มโสมมราดรดใบหน้า

เลยมิพักเห็นดอมดมสัมผัส

อารยะสงัดอยู่ตรงสง่า

หวังพ้นวิโยคตามกรอบแคบสติ

โถ่ซิฟิลิสแห่งร่างปัญญา

ก่นด่าวิพากษ์มั่วแบ่งฝักหั่นฝ่าย

ฟัดกันให้ตายไร้ต่างจากหมา

สามานย์ครองจิตหวังพิชิตความต่ำ

ระย่ำพอกันเตี้ยชะลูดเพียงผิว

ข้าโสข้าสาบข้่าอุจาดชีวิต

คิดตนงามสฤษฏ์แท้จริงกิเลสหิว

เชื่อตนยิ่งใหญ่ประกาศิตปลิดปลิว

" เกิดดับเพียงริ้วร่องกาลอนันต์ "

Monday, August 21, 2006

ณ กาลวายุ


ท่ามกลางความเหนื่อยระทวยในตาพายุ ขณะหนึ่งข้าพเจ้าสัมผัสได้ซึ่งสายลมเยียบพรายพริ้ว ความโกลาหลรอบตัวเป็นเพียงความเคลื่ื่อนไหวสถิตย์ ความไม่ไหวติงในแขนงการส่ายสั่นสะท้านของมวลรอบตัว ยังความสงบมาสู่ตัวข้าพเจ้า

ในท่ามกลางสายตาที่พร่ามัวเนื่องด้วยเศษทราย ดิน เศษแก้วและขวด(เหล้า) และวัตถุนานาชนิด ที่หมุนวนเกรี้ยวกราดอยู่รอบข้าพเจ้า-ใช่ซินะ... นั่นคงเป็นเศษกระดาษที่ข้าพเจ้ามักจะจดจารอะไรไว้เพื่อการทำงานหรือบันทึกความคิดผุๆเน่าๆหาสาระใดมิได้ เอ๊ะ!-ส่วนสิ่งนั้นคงเป็นเงินที่ข้าพเจ้าทำหล่นหายไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นั่นคงเป็นบิลล์เก็บเงินหลายหลากที่มั้นรั้งความสนุกข้าพเจ้าให้แดดิ้นอวดโฉมร่านมิได้ โอ้ว!-นั่นมันหนังสือเสเพลบอยชาวไร่ ของรงษ์ที่ข้าเสพย์อย่างคนคลั่งเสพยาบ้า


หากให้ข้าพเจ้านั่งอธิบายวัตถุหมุนวนเกรี้ยวกราดเหล่านี้ ก็คงจะเปลืองเปล่าเวลาผู้อ่านเป็นอย่างมาก (ซึ่งก็คงจะเป็นตัวข้าพเจ้าแต่ผู้เดียว)
แต่เท่าที่รู้หากข้าพเจ้าพินิจพวกมันดู ข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงความเกี่ยวเกาะเลื้อยรัดกับรยางค์หนึ่งรยางค์ใดของต้นไม้แห่งชีวิตของข้าพเจ้า-ไม่มากกว่าประทับใจ ไม่น้อยกว่าหยดน้ำตา

วิถีแห่งดาบศัตรู กำลังสอดขนานไปกับระดับสายตาของข้าพเจ้า นำพาความเงียบงันวิปลาศมายังตัวข้าพเจ้า(มิได้หรือมิสามารถที่จะระบุผู้ใด-ข้าพเจ้าไม่รู้ อาจเป็นตัวข้าพเจ้าเอง หรือใคร )

ฤาขณะก่อนตายดับสิ้น ฤาขณะหยั่งรู้็และบงการ... ข้าพเจ้าไม่แน่ใจนัก


........................................................................


ข้าพเจ้าไร้ความสุขโป่งพอง และมิได้ทุกข์สะท้านฟูมฟาย

มันนานเท่าไหร่แล้วหนอ...ที่ทวิลักษณ์ความรู้เทวาหรือซาตานแห่งการแบ่งแยกของมนุษย์และของตัวข้าพเจ้าเองนั้นมันหมดแรงคืบคลานไปยังขอบแห่งมัน ... กลางเกินไป กลางเกินไป บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้น ถูกหรือไม่ สมควรสมาทานหรือไม่ ข้าพเจ้ายังไม่สามารถตัดสินใจได้ รอแต่เพียงบางสิ่งบางอย่าง อาจเป็นเวลาที่จะเปิดเผยสิ่งที่ข้าปุจฉาไปในเมืองหมอกเร้นลับแห่งจิต

คงเป็นเพราะความไม่แน่ใจในแขนงแห่งตรรกะนิยมที่แวะมาทักทายข้าพเจ้าอีกครั้ง-ในหลายครั้งของการพบเจอ แต่ครั้งนี้มันมาหลังจากห่างหายไปเสียนาน-ช้าไปแล้วที่จะผรุสวาทสาดโคลนและโอนความผิดให้แก่มัน นี่แหล่ะหนา-ข้าพเจ้ามิเคยประกาศว่าเป็นมิตรหรือศัตรูแต่พฤติการณ์ที่มักเกิดคืแข้าพเจ้าต้องเผชิญกับมันอยู่ร่ำไป โอเคๆ-งั้นท่านคงอาจเป็นมิตรของเรา หรือหากมิใช่คงเป็นศัตรูอันเป็นที่รัก-ไว้กลับมานิยาม เมื่อสถานกาีรณ์และเวลาเป็นคำตอบ


.........................................................................


ภาพสายตาเช่นที่ดำเนินอยู่ เสียงครืนครั่นของปัจจัยรอบตัวดั่งเสียงหวีดเหวยกรีดร้องของหม้อน้ำเดือด แผดทะลวงทุกเยื่อใน สัมผัสรุนแรงยื้อกระชากผิวหนังเหมือนสงครามแห่งมนุษย์สวาปามคน ทั้งหลายนั้นพุ่งตรงเดือดพล่านมาหาข้าพเจ้า-โอ มันช่างดุดันเหลือเกิน มิพักต้องรวทถึงความมืดสีหม่นที่แผ่อำนาจทั้งพื้นที่และกาลเวลาเอาไว้ดั่งปีศาจทุนนิยมที่กัดกินใจเราอยู่ ณ ตอนนี้-เหี้ยมเกรียม มุ่งมั่น ไม่หยุด กว่าจะเห็นความตาย

ทำไมข้าพเจ้ารูู้็้สึกถึงทำนองรื่นไหล มิใช่แยซซ์ มิใช่บลูส์ (หรืออาจเป็นทั้งสอง) มิใช่ปาร์คเกอร์(ชาลี), ฟิตซ์เจอรัลด์(เอลลา) และหรือ มิใช่ โรเบิร์ต ยอห์นสัน มิใช่บี บี คิง แต่มันหนักหน่วงแบบอินดัสเทรียล-แมนสัน (มาริลีน) ซึ่งภายในความหยาบกร้าน มันแฝงฝังด้วยท่วงทำนองโสดาบันบอสซ่า กิลแบร์โต้(แอสตรูด) ในคำร้องโน้มถ่วงเช่นแรงดึงดูด ของเสต็ก ที โบน เนื้อสันก้อนใหญ่ของผู้ใฝ่หาสุนทรียะ

ความรู้สึกเช่นว่า-ความรู้สึกในแขนงเทวีสาวและซาตานผู้ สังวาสกันอย่างร้อนพระอาฑิตย์ แดงเลือดอิรักบริสุทธ์เงื้อมจงอยปากอินทรีย์บ้าน้ำมัน แต่สวยงามอ่อนโยนยิ่งกว่าเธอผู้ที่ข้าพเจ้ารัก-ไม่มากและไม่น้อยกว่านี้ในนามของความงามทางโลกส่วนตน
สงบกว่าการนึกถึงโดยไม่ถึงความว่างเปล่า-ปรมาจารย์แห่งเซนกำหนด โดยข้าพเจ้ากำหนัดรู้


.........................................................................


หนึ่งในความน่าจะเป็น-ข้าไม่แน่ใจในตัวเองอีกแล้ว หนึ่งในความน่าจะเป็น-ข้าพเจ้าหวาดกลัว หนึ่งในความน่าจะเป็น-ข้าพเจ้าตรมทุกข์ระดับลึกที่สุดในขนาด โน แมน'ส แลนด์ หนึ่งในความน่าจะเป็น-ข้าพเจ้าขุดตนลึกหยั่งรู้สิ่งแท้เที่ยงไม่ผัน หนึ่งในความน่าจะเป็น-ข้าพเจ้ากำลังพิกาฬหฤหรรษ์ หนึ่งในความน่าจะเป็น-ปัจจุบัน,อนาคต,อดีตสลายไป

ทั้งหลายน่าจะเป็น...

แต่อะไรคือสิ่งที"่เป็น"ข้าพเจ้าไม่ทราบซ่านสดับ แม้จะเห็นคำตอบ แต่ไร้การรู้ สัมผัสไม่ได้ ขาดด้วนการอธิบายพรรณนาถึงมัน จนกว่ารูปธรรมจะเผยตัวในสายตา แต่ความไม่แน่ใจยังมีต่อไปว่า ตาข้าพเจ้าพร่าเลือนหรือ ข้าพเจ้ามิได้ใช้จามองอีกต่อไป ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าชาชินกับสิ่งเร้าทุบจิตใจ(แต่มิได้หยุดความเสียหาย) หรือ ตัวเรือนกายข้าพเ้จาสลายสมานนรกสวรรค์โลกกัปกัลป์

อีกไม่นาน ในขนาดเวลาสันขวานของชีวิตมนุษย์สถุลรสเช่นข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคงรู้ผลแห่งมัน...

ฤาคือขณะก่อนตาย ฤาคือหยั่งรู้บงการ

โปรดอวยพรแด่ข้าพเจ้า

บันทึกไว้ ณ กาลวายุ
อาณาจักรแห่งจิต


Sunday, August 13, 2006

Times goes by in "the road I've been"



When I saw you...
I was afraid to talk to you
when I talked to you...
I was afraid to hold you
when I hold you...
I was afraid to love you
Now that I love you...
I'm afraid to lose you
yesterday is history...
tomorrow is mystery
and today is a gift
that's why it's called present
sometimes love hurt
then it isn't love
hold on the person you love
before they slip away
or else you can never get her back


from some moment in my life
in the night of rememberences
and lost memories...
was found in the silent of...
" the road I've been"