Friday, February 24, 2006

คำถาม (เยาว์)

ผมละเจ็บแค้นจริงๆให้ตายซิ งานที่ผมเขียนไว้เมื่อวาน พิมพ์โดยความสงบสุขใจเป็นอย่างยิ่ง พอกลับมาดูวันนี้มันหายไป! คงเป็นกรณีคล้ายกับกรณีที่พี่ เอต้า เดอ ดรัว เคยบ่นเอาไว้ในบลอกของพี่เขา
เสียดายอย่างยากที่จะอธิบายเป็นภาษา (อาจจำต้องใช่การโห่ร้อง โอดครวญราวกับนักศึกษาหนุ่มผู้ขาดรักที่เปลี่ยวเหงาอยู่ในคืนเดือนมืด-ชักจะนำความเสียใจครั้งน
ี้ไปไกลมากไปหน่อยแล้วแฮ่ะ )

แต่สิ่งนี้ที่ได้มาคิดและเรียนรู้ คือ หากเป็นงานลักษณะประพันธ์(ในความหมายของผมคือ
คิดครุ่น ณ จุดนั้นของอารมณ์ความคิดซึ่งจะกลั่นตัวเป็นข้อความชุดหนึ่งหรือความคิดชุดหนึ่ง ไม่ว่ามันจะมีคุณค่าหรือไม่ก็ตามสำหรับทั้งตัวเราและคนอื่น

มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเดินทางผ่านเรามา... แล้วมันก็ผ่านไป...

หน้าที่ของเราจึงต้องจับคว ้าให้มั่นซึ่งการประพันธ์นั้นเพราะหาไม่แล้วการที่จะให้กลับมาเขียน
แบบเดิมกรอบเดิมเป็นไปได้ยากยิ่ง อารมณ์เดิม ความอิ่มในตัวเราจนมันล้นออกมาเป็นตัวหนังสือแบบเดิม มันคงจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปมากทีเดียว(เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเห็นว่าการเขียนของผมคือความสมัครเล่นสัมบูรณ
์มิได้มีความเป็นอาชีพเลยแม้แต่นิดเดียว)ทำให้ความอยากเขียนในงานเดิมโดยการเขียนครั้งใหม่มันเลย
พาลหายไปเสียดื้อๆ

ผมจึงตั้งคำถามกับตัวเองว่าหากเป็นในรูปแบบของความเชื่อหรือทรรศนะเชิงคุณค่าทั้งหลาย
ของเรา(อาจจะกระแดะเป็นคำว่า วาทกรรมที่เราสร้างขึ้น) ที่เรามีอยู่ในตัวเอง ณ ช่่่วงเวลาหนึ่งซึ่งทำให้เรา
คิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าที่จะทำมันไปอย่างไม่ย่อท้อหรือพอที่เราจะถ่ายทอดหรือแบ่งปันให้คนอื่น

จริงๆแล้วมันจะดำรงอยู่กับเราไปตลอดหรือ? หากไม่ตลอดแล้วมันจะนานเพียงใดหรือ?

อย่างเช่นในกรณีของคำแถลงการณ์ขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(อมธ.)
ทั้งสามฉบับที่ออกมาโดยมีใจความเนื้อหาเทิดทูนจริยธรรมคุณงามความดีของนักการเมืองหรือ
ผู้นำประเทศในอุดมคติ (ที่ตัวผู้ออกแถลงการณ์จะเคยทำหรือไม่ก็ตามหรืออาจจะยังไม่เคยทำ แต่“เชื่อ”
ว่าตนจะกระทำในอนาคต)และบริภาษก่นด่าผู้นำปัจจุบันแต่ในชีวิตความเป็นจริงหากตนอยู่ตำแหน่งผู้นำ
จริงๆ มันมิได้มีหลักประกันใดๆเลย ที่จะเชื่อว่าตัวผู้แถลงหรือผู้มีส่วนร่วมในคำแถลงทุกผู้ทุกคน หรือผู้เชื่อในคำแถลงแล้วลุกขึ้นมาลงชื่อถอดถอนหรือร่วมชุมนุมโดยหัวใจพองโตของวิญญาณนักปฏิวัต
ิในอดีต(ซึ่งปัจจุบันก็นั่งยิ้มหวีผมเป๋อยู่ในทำเนียบทรราชย์ที่ถูกกล่าวหานั่นแหล่ะ) จะะทำได้จริงดังที่กล่าวไว้ซะดิบดี

รวมถึงประเด็นเรื่องปัญหาวงในที่เกิดขึ้นทำให้ผมมีความเชื่อเสียด้วยซ้ำว่าอาจเป็นแต่เพียง
คำแถลงการณ์กลวงของนักศึกษาชนชั้นกลางสมบูรณ์แบบที่เสพย์เมถุนอยู่ในยุคสมัยแห่ง วัฒนธรรม me me me-ปัจเจกชนวิลัย วี้ดวิ้ว-ภาษาง่ายๆคืออยากดังนั่นแหล่ะแต่ผมก็ตั้งข้อสงสัย แต่ไม่ขัดขา
เพราะคุณูปการของพวกเขาเหล่านั้นอยู่ที่ตัวคำแถลงและการกระทำ หากทำตัวแย่ๆบริหารงานแย่ๆ เดี๋ยวกลไกแห่งอำนาจจะจัดการเขาเอง

ขนาดผมยังกลัวตัวเองอยู่เลย ว่าปัจจุบันตัวเองงีี่่เง่า ไม่ได้เรื่องอยู่ขนาดนี้ อนาคตต่อไปจะเป็นยังไงหว่า

สวัสดีครับ (คราวนี้ค่อนข้างไร้สติ)

Wednesday, February 15, 2006

สำหรับทุกคน และสำหรับคนคนหนึ่ง


พิรมณ์รื่นชื่นสุขเมื่อปองรัก
เศ้าโศรกโสกาหนักเมื่อห่างหาย
ท้ายสุดแล้ววันคืนเคลื่อนเลื่อนคล้อยคลาย
สุดท้ายจึงเห็นเลื่อมลายวันเวลา

14 กุมภาพันธ์ วาเลนไทน์
มิได้หมายป้องปักหรือรักษา
ให้วันวานคงอยู่หรือย้อนมา
เพื่อดำรงคุณค่า"ปัจจุบัน"


14 กุมภาวันแห่งรัก
เป็นหมุดหลักยำแน่นของความฝัน
ของผู้คนที่ศรัทธาในทุกวัน
ว่าความรักในฝันยังหายใจ

14 กุมภา คงอยู่เถิด
เพื่อผู้คนที่ชูเชิดได้สดใส
เพื่อคำสั้นๆที่เรียก"ใจ"
ได้เดินทางก้าวไปโดยแย้มพราย

14 กุมภา ในความจริง
สถิตย์นิ่งอยู่ในลึกของความหมาย
ดำรงอยู่ในทุกหยาดลมหายใจ
จับมือก้าวเดินไปกับพวกเรา

14 กุมภา สำหรับคุณ
ขอให้จิตรับไออุ่นและไร้หนาว
ขอให้สดับสำเนียงเพราะแห่งเดือนดาว
ขอให้ยิ้มละมุนพราววาเลนไทน์

happy happy ครับ โดยเฉพาะคุณนะครับ!!!