Sunday, April 12, 2009

Poisonous Food

12 เมษา (สงกรานต์อีฟ)

ในความริยำของไฟคลั่งข้อมูลฝ่ายเดียวของสยามประเทศ ในคราบไคลของอัตตาที่เรียกว่าประชาธิปไตยตน
ในไฟสงครามของมหาประชาชนเง่า-ความเง่าไม่เคยเลือกสี ความงามก็ไม่เคยเลือกสี และ แน่นอน ความสว่างไม่มีสี
ผม ชนชั้นกลางสัมบูรณ์ ในเมืองฟ้าอมร เอามือตนวางสากลงข้างตัว และประณตมือประนมภาวนา

……..

ปราชญ์สยาม (ไร้สี) ท่านหนึ่งเคยราดความเย็นให้สังคมไทย โดยกล่าวไว้ว่า

“ถ้าหากว่า เผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทย ที่เราสร้างเสริมขึ้นมา อย่างดี เป็นเวลานานจะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่ม ปรากฏ ผลแล้ว ฉะนั้นจะต้องแก้ไข ฉะนั้น ก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่านคือ พล.อ.สุจินดา และพล.ต.จำลองช่วยกันคิด คือ หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่ เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากัน ไม่ เผชิญหน้ากัน แก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติ รุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใคร จะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือ ประเทศชาติ ประชาชน จะเป็น ประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะใน กรุงเทพ มหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์ อะไรที่จะทะนง ตัวว่าชนะ เวลาอยู่บน กอง ซากปรักหักพัง ฉะนั้น จึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน...Ž”

หากอ่านโดยไร้สี หากพิจารณาโดยไร้อัตตา หากมองอย่างเป็นธรรม เป็นกลาง โดยมิต้องคำนึงว่าผู้ที่กล่าวข้อความเป็นใคร อยู่ในตำแหน่งใดบนสากลโลก จะเห็นยิ่งว่าเป็น ข้อความที่คัดค้านได้ยากยิ่ง

เสรีภาพแห่งการแสดงออกเมื่อมาถูกปรุงแต่งด้วยอัตตาของปัจเจกบุคคล เหยาะด้วยการปลุกปั่นเกลียดชังของน้ำปลาตรา demagogue เป็นส่วนผสมชั้นดีของความหายนะจานใหญ่ที่ประเทศชาติต้องถูกบังคับให้กลืนกินลงไป

อย่าลืมว่าอาหารเป็นพิษทำให้คนตายได้

มิพักต้องถามว่าอาการประชาธิปไตยเป็นพิษจะพาเราสู่ที่ใด