Thursday, March 09, 2006

มีดและด้าม?


“คัมถีร์ไร้อักษร
ช่างบริสุทธิ์ และสดชื่น
ดอกไม้ที่ประดับด้วยหยาดน้ำค้าง
ช่างไพเราะเสนาะใส
บทเพลงของหมู่วิหค
เมฆขาวสงบ ธารน้ำส่องประกายสีคราม
ใครเลยที่อาจขีดเขียน
ด้วยถ้อยคำที่แท้ อันปราศจากอักษร
ขุนเขาสูงตระหง่าน แมกไม้เขียวขจี
หุบเหวล้ำลึก ธารน้ำสะอาดใส
สายลมบางเบา ดวงจันทร์สวยล้ำ
อย่างสงบงัน ข้าพเจ้าอ่าน
ถ้อยคำที่แท้ซึ่งไร้อักษร”

ดอกไม้ไม่จำนรรจ์,เซนไค ชิบายามะ

หลายชั่วนาฬิกาหมุนแล้วที่ผมครุ่นคิด จับการเคลื่อนไหวของสติ และพยายามนั่งคุยกับตัวอักษรชุดข้างบนนี้

บุหรี่ต้องพลีชีพไปหลายซอง... เพื่อควันเผาไหม้ความโง่เง่า และควันพริ้วเอื่อย ยังม้วนตัวไปมาต่อไป

กี่มวนแล้วนะ?

กาแฟ ที่มิใช่อาราบิก้า... เทราดไปหลายถ้วยละลายไปกับทะเลแห่งความไม่รู้ และมันยังรินราดในขนานจิบหรือsipต่อไป

กี่แก้วแล้วนะ?

แต่ผมยังไม่เข้าใจ หากเป็นเม็ดฟักทองก็ยังขบไม่แตกถึงแก่นแท้เนื้อใน วิถีคิดและชุดความคิดแบบเปลือก เบื๊อกๆ ยังมีอยู่เต็มกบาลใสแหน่ว(ข้างในของผม)

จะทำเช่นไรหล่ะที่จะล่าแก่นซึ่งซึ่งน่าขบเคี้ยวนั้น

มีใครและใครและใคร บอกว่า "แก่นจริงแท้หามีแก่นไม่...จึงมีแก่น"

ผม-ผู้ซึ่งคือผมหรือเปล่าก็ไม่รู้จึงมีผม ก็คิดว่า เฮ้ยนีมันอะไรกันวะมันคือการเล่นลิ้นเชิงตรรกะหรือ แล้วถ้า "การฆ่าจริงแท้ หามีการฆ่าไม่... จึงมีการฆ่า" เช่นนี้ก็จะมีการคร่าชีวิตพลีชีพไปเพื่อรู้แก่นแท้ของอนัตตาหรือ หรือว่าชีวิตที่แท้ต้องมีการเข่นฆ่า หากเป็นเช่นนั้นการฆ่าผู้อื่นย่อมชอบธรรมหรือ "รัฐธรรมนูญจริงแท้หามีรัฐธรรมนูญไม่... จึงมีรัฐธรรมนูญ" คืออะไรหล่ะ แล้วรัฐธรรมนูญนี่มันฉบับไหนหล่ะ แล้วข้างในมันบัญญัติไว้ว่าอย่างไร แล้วการได้มาของมันเอามาจากไหน ใครเป็นคนร่าง เนื้อความยอมรับได้มั้ย

ผมยังครุ่นคิด... และอีกไม่นานคงแปรกลายเป็นความคลุ้มคลั่ง ขอบสุดของสติ การข้ามไปสู่ดินแดนที่ไม่มีใครตามตัวผมได้คงเป็นเรื่องที่มิใช่เพ้อฝันอีกแล้ว

เหงื่อกาฬไหลย้อย ท่วมหน้าผม ลงไปสู่ปาก ทำให้ผมรับรู้รสชาติของความพ่ายแพ้ ของความโง่ ของความไม่รู้ เส้นเลือดผมปูดโปนเห็นได้ชัด ตอกย้ำว่า ผมนี่มันเป็นคนใช้ไม่ได้เสียจริง คิดจนร่างกายขมึงเกร็ง ไปทุกภาคส่วนแล้ว ยังหาแก่นไม่เจอเสียที

ห้องผมยังมืดสลัวอยู่ เพราะผมยังไม่มีวันเปิดให้มันสว่างได้หรอก หากจิตใจผมยังมืดมิด มืดบอดอยู่เช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไรที่จะอาศัยแสงสว่างจอมปลอมมาหลอกลวงผมอีก ผมไม่ใช่เด็กอมมืออ่อนแอ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ เคยบอกผมแล้วว่า เรามีแสงสว่างในตัวเอง ถึงเราจะไม่ใช่หิ่งห้อยก็เถอะ ผมเชื่อเขาและผมจะต้องทำให้ได้

แล้ววรพจน์มันเก่งกาจมาจากไหนมันถึงบอกว่าเรามีแสงสว่างในตัวเอง จริงแล้วเราอาจจะเป็นความมืดนิรันดร์ที่หายใจได้ก็เป็นได้ เป็นความหมายในขนาดมหึมา ที่ค่อยบีบตัวเราเองอย่างอำมหิต จนสูญสลายไป ก็เป็นได้ มูราคามิกล่าวไว้

....................................................................................................



“ในอดีต มีอาจารย์เซนรูปหนึ่ง ชื่อเซคิโตะ สมัยท่านยังเป็นพระฝึกหัดอยู่ วันหนึ่งท่านออกไปทำงานในภูเขาร่วมกับพระอื่นๆ ทั้งหมดผ่านไปในช่องเขาแคบๆ ที่ระเกะระกะอยู่ด้วยเครือไม้และเถาวัลย์จนแทบจะเดินทางต่อไม่ได้ พระที่นำขบวนจึงหันกลับมาหาเซคิโตะแล้วกล่าวว่า “เถาวัลย์รกตนแทบไม่อาจเดินต่อไปได้ ท่านจะให้ข้าพเจ้ายืมมีดเล่มใหญ่ที่ท่านนำติดตัวมาได้หรือไม่” เซคิโตะก็ปลดมีดเล่มใหญ่ออกมา และยื่นพุ่งออกไปเบื้องหน้าโดยมีปลายแหลมจดจ้องไปที่พระผู้นั้น พระก็สะดุ้งตกใจหดมือกลับร้องว่า “อย่าเล่นบ้าๆส่งทางด้ามมาเร็ว” แต่คำตอบของเซคิโตะแหลมคมเสียยิ่งกว่าปลายมีดอีก ท่านตอบว่า “ด้ามมีดมีประโยชน์อะไรกัน” พระก็ได้แต่นิ่งอึ้ง โดยไม่อาจพูดจาโต้ตอบได้แม้แต่คำเดียว”
ดอกไม้ไม่จำนรรจ์,เซนไค ชิบายามะ

...........................................................................


นาฬิกาผ่านเดินทางในโลกแห่งความนาน แต่ผมมิได้ตามมันไป

อืม...

สวัสดีครับ(อย่างมีสต)ิ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home